คุณรู้ไหม OEM หรือ ODM เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่มองไม่เห็นเบื้องหลังการเติบโตของธุรกิจความงาม
ตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลของไทยไม่ได้เพียงแค่เติบโต แต่กำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ด้วยมูลค่าตลาดที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 340,000 ล้านบาทในปี 2567 และคาดการณ์การเติบโตต่อเนื่องที่ 9.5-11% ไปจนถึงปี 2568 ประเทศไทยได้กลายเป็นสมรภูมิแห่งโอกาสที่น่าจับตามอง การเติบโตอย่างร้อนแรงนี้ได้รับแรงหนุนจากกระแสการดูแลตนเอง (Self-care) ที่เข้มข้นขึ้น ความสำคัญของภาพลักษณ์ส่วนบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกมิติของชีวิต และการเกิดขึ้นของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล
เบื้องหลังบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและแคมเปญการตลาดที่แพร่หลายในโลกออนไลน์ของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากนั้น ซ่อนไว้ซึ่งการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญและมักถูกมองข้าม นั่นคือ “การเลือกพันธมิตรผู้ผลิต” รายงานฉบับนี้จะเจาะลึกและไขความกระจ่างของสองโมเดลการผลิตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรม ได้แก่ Original Equipment Manufacturer (OEM) และ Original Design Manufacturer (ODM) ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์อันทรงพลังที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ความเร็ว และการเข้าถึงตลาดของธุรกิจความงามในปัจจุบัน
วันนี้เราจึงอยากมาให้ความเข้าใจของโมเดล OEM และ ODM อย่างละเอียด เพื่อชี้ให้เห็นว่ารูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด พร้อมนำเสนอแผนงานที่นำไปปฏิบัติได้จริงสู่ความสำเร็จ
———————-
ถอดรหัสคำศัพท์สำคัญ OEM vs. ODM ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
ส่วนนี้จะทำความกระจ่างเกี่ยวกับคำจำกัดความพื้นฐานที่มักเกิดความสับสนระหว่าง OEM และ ODM เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นกรอบความคิดสำหรับเนื้อหาในส่วนที่เหลือของรายงาน
OEM (Original Equipment Manufacturer) คืออะไร?
คำจำกัดความหลักของ OEM ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางคือ โมเดลที่เจ้าของแบรนด์เปรียบเสมือน “สถาปนิก” คุณเป็นผู้กำหนดพิมพ์เขียวทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การนำเสนอสูตรเฉพาะที่พัฒนาขึ้นเอง (Proprietary Formula) การระบุคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์โดยละเอียด ไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ บทบาทของโรงงานผู้ผลิตในโมเดลนี้คือการ “รับจ้างผลิต” ตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ของคุณกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้จริง
ลักษณะสำคัญที่สุดของโมเดล OEM คือ แบรนด์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ของสูตรผลิตภัณฑ์นั้นๆ อย่างสมบูรณ์ การจ้างโรงงาน OEM จึงเป็นการจ้างเพื่อใช้เครื่องจักร กำลังการผลิต และความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิต ไม่ใช่การจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D)
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับผู้ประกอบการไทย เนื่องจากในตลาดท้องถิ่นบางครั้งมีการใช้คำว่า “OEM” ในความหมายที่กว้างกว่ามาตรฐานสากล โดยอาจหมายถึงการเลือกใช้สูตรสำเร็จของโรงงานมาติดแบรนด์ของตนเอง ซึ่งตามคำจำกัดความระดับโลกแล้ว ลักษณะดังกล่าวจะเข้าข่ายโมเดล ODM มากกว่า รายงานฉบับนี้จะยึดตามมาตรฐานสากลที่ว่า
OEM คือการที่แบรนด์นำสูตรของตนเองไปให้โรงงานผลิต เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องติดต่อกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
ODM (Original Design Manufacturer) คืออะไร?
โมเดล ODM คือรูปแบบของความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ (Collaborative Partnership) ที่โรงงานผู้ผลิตเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โรงงาน ODM จะมีคลังสูตรผลิตภัณฑ์ (Portfolio) ที่ผ่านการวิจัย พัฒนา และทดสอบความเสถียรมาแล้วเป็นอย่างดี พร้อมสำหรับให้แบรนด์ต่างๆ เลือกนำไปปรับใช้และเปิดตัวสู่ตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ของตนเอง
โมเดล ODM สามารถแบ่งย่อยได้ตามระดับของการปรับแต่ง ซึ่งเปรียบเสมือนสเปกตรัมที่มอบความยืดหยุ่นให้กับเจ้าของแบรนด์ ได้แก่
– White Label (สูตรสำเร็จรูปพร้อมขาย) เป็นรูปแบบ ODM ที่ตรงไปตรงมาและรวดเร็วที่สุด แบรนด์จะเลือกผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากแคตตาล็อกของโรงงาน ซึ่งมีสูตรและบรรจุภัณฑ์ที่กำหนดไว้ตายตัวแล้ว การปรับแต่งเพียงอย่างเดียวที่ทำได้คือการออกแบบและติดฉลากแบรนด์ของตนเองลงบนผลิตภัณฑ์ โมเดลนี้มีข้อดีคือใช้เวลาในการออกสู่ตลาด (Time-to-Market) สั้นที่สุด และมีจำนวนการสั่งผลิตขั้นต่ำ (Minimum Order Quantity – MOQ) ที่ต่ำที่สุด
– Private Label (สูตรกึ่งสำเร็จรูปปรับได้) โมเดลนี้มอบความยืดหยุ่นที่มากขึ้น แบรนด์จะเริ่มต้นจากสูตรพื้นฐาน (Base Formula) ของโรงงาน แต่สามารถร้องขอให้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยได้ เช่น การเปลี่ยนกลิ่น การเพิ่มสารสกัดเด่นบางชนิด หรือการเลือกรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างออกไป กระบวนการนี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันที่ใกล้ชิดขึ้น และโดยทั่วไปมักมี MOQ และต้นทุนที่สูงกว่าแบบ White Label
พลังของโมเดล ODM คือการที่แบรนด์สามารถ “Outsource” กระบวนการ R&D ทั้งหมดไปให้กับผู้เชี่ยวชาญได้ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถในการพัฒนาสูตร การคาดการณ์เทรนด์ และการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ของโรงงาน ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความแตกต่างโดยสรุป OEM vs. ODM
แม้ว่าคำจำกัดความของ OEM และ ODM จะดูชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เส้นแบ่งระหว่างสองโมเดลนี้ไม่ได้ตายตัวเสมอไป แต่เป็นสเปกตรัมของความร่วมมือ โรงงานผู้ผลิตที่ทันสมัยหลายแห่งนำเสนอบริการทั้งสองรูปแบบและสามารถสร้างโมเดลแบบผสมผสาน (Hybrid Model) ได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ใหม่อาจเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์แบบ ODM เพื่อเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนำข้อมูลและรายได้ที่ได้รับมาต่อยอดพัฒนาร่วมกับโรงงานเดิมเพื่อสร้างสูตร OEM ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของผู้ผลิต จากเดิมที่เป็นเพียง “โรงงานรับจ้าง” ไปสู่การเป็น “พันธมิตรด้านนวัตกรรมแบบครบวงจร” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงอย่างเกาหลีใต้ ผู้ผลิต ODM ชั้นนำอย่าง Cosmax และ Kolmar Korea ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิต แต่ยังเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่ทำงานร่วมกับแบรนด์อย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก
ดังนั้น สำหรับผู้ประกอบการไทย เป้าหมายอาจไม่ใช่การเลือกระหว่าง “OEM” หรือ “ODM” อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการค้นหาพันธมิตรที่มีความยืดหยุ่นและศักยภาพในการสนับสนุนการเติบโตของแบรนด์ในทุกช่วง ตั้งแต่การเปิดตัวอย่างรวดเร็วด้วย ODM ไปจนถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมรดกของแบรนด์ด้วย OEM ในระยะยาว การมองภาพในลักษณะนี้จะเปลี่ยนโจทย์จากการเลือกตัวเลือกสองทาง ไปสู่การตัดสินใจเลือกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคตของธุรกิจ
ตารางเปรียบเทียบกลยุทธ์ OEM vs. ODM
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจนและช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ตารางด้านล่างนี้ได้สรุปประเด็นสำคัญของทั้งสองโมเดล
| คุณลักษณะ | OEM (โมเดลของสถาปนิก) | ODM (โมเดลของพันธมิตรผู้ร่วมสร้างสรรค์) |
| แนวคิดและสูตรผลิตภัณฑ์ | แบรนด์เป็นผู้พัฒนาและจัดหาทั้งหมด | โรงงานเป็นผู้พัฒนาและนำเสนอสูตรให้เลือก |
| กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) | เป็นของแบรนด์ 100% | โดยทั่วไปเป็นของโรงงาน (แบรนด์ได้รับสิทธิ์ในการใช้) |
| การลงทุนและความเสี่ยงด้าน R&D | สูง (แบรนด์รับผิดชอบทั้งหมด) | ต่ำ (โรงงานเป็นผู้รับผิดชอบ) |
| ระยะเวลาในการออกสู่ตลาด | นาน (โดยทั่วไป 6 เดือนขึ้นไป) | สั้น (เร็วสุด 1-4 สัปดาห์สำหรับ White Label) |
| ความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ | สูงมาก สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน | อาจจะต่ำ มีความเสี่ยงที่จะคล้ายกับแบรนด์อื่น |
| ต้นทุนเริ่มต้น | สูง (ค่าใช้จ่ายด้าน R&D, การทดสอบ) | ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ |
| จำนวนการสั่งผลิตขั้นต่ำ (MOQ) | โดยทั่วไปสูงกว่า | โดยทั่วไปต่ำกว่าและยืดหยุ่นกว่า |
| การควบคุมผลิตภัณฑ์ | ควบคุมได้เต็มรูปแบบทุกมิติ | ควบคุมได้จำกัด (ส่วนใหญ่คือการตลาดและแบรนด์) |
| เหมาะสำหรับ | แบรนด์ที่มีชื่อเสียง, แบรนด์ที่มีเทคโนโลยี/สูตรเฉพาะตัว, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (แพทย์ผิวหนัง), ธุรกิจที่ต้องการสร้างสินทรัพย์ระยะยาว | ธุรกิจสตาร์ทอัพ, ผู้มีอิทธิพล (Influencer), แบรนด์ที่เน้นความเร็วและการตลาด, การทดลองตลาดสินค้าใหม่ |
——————————
ตลาดความงามไทย พื้นที่อันอุดมสมบูรณ์สำหรับแบรนด์ใหม่
การทำความเข้าใจบริบทของตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจเลือกโมเดลการผลิต ส่วนนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและตัวเลขที่ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงขนาดของโอกาสในประเทศไทยและแนวโน้มเฉพาะที่ทำให้การตัดสินใจเลือกระหว่าง OEM และ ODM มีความสำคัญอย่างยิ่ง
ขนาดตลาดและเส้นทางการเติบโต
ตลาดความงามของไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง ข้อมูลจากหลายแหล่งยืนยันถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง
มูลค่าตลาดมหาศาล ภาพรวมตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลของไทยมีมูลค่าประเมินอยู่ที่ระหว่าง 258,000 ถึง 340,000 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) เป็นหมวดหมู่ที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าสูงถึงกว่า 113,000 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มเครื่องสำอาง (Makeup) ที่มีมูลค่าราว 22,700 ล้านบาท
อัตราการเติบโตที่น่าประทับใจ ตลาดโดยรวมคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 9.5-10% ในปี 2567 และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 11% ในปี 2568 ขณะที่ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาดการณ์การเติบโตที่ดุดันยิ่งกว่า โดยคาดว่าตลาดในประเทศจะขยายตัว 13.3% ในปี 2568 และตลาดส่งออกจะเติบโตถึง 12.8%
ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการระบาดใหญ่ กระแสการใส่ใจดูแลสุขภาพและความงามแบบองค์รวม อิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิด “Fast Beauty” หรือการเปลี่ยนผ่านความนิยมอย่างรวดเร็ว และการยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ความงามของไทย (T-Beauty) ในตลาดระดับภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น
การรุ่งอรุณของ “Skintellectual” เวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงามคือโอกาสสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในตลาดคือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งสร้างโอกาสมหาศาลสำหรับแบรนด์ใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญ
ผู้บริโภคยุคใหม่ “Skintellectual” ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ใช่แค่ผู้ซื้อ แต่เป็น “Skintellectual” พวกเขามีความรู้ความเข้าใจในส่วนผสมเป็นอย่างดี ต้องการความโปร่งใส และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ผลสำรวจชี้ว่า 57% ของผู้ซื้อในกลุ่มความงามจะทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อ พวกเขาไม่ยึดติดกับแบรนด์ใหญ่เหมือนในอดีต แต่พร้อมที่จะเปิดรับแบรนด์ใหม่ที่มีนวัตกรรมและเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งนี่คือประตูบานใหญ่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
การเติบโตของเวชสำอาง (Cosmeceuticals) แนวโน้มนี้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับตลาดเวชสำอาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Ingredients) และมุ่งเน้นการให้ผลลัพธ์คล้ายยาหรือการรักษาทางการแพทย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ต้องการความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งหมายถึงการมีผลการวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่งและการทดสอบทางคลินิกที่ชัดเจน การเลือกพันธมิตรโรงงานที่มีศักยภาพด้านนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญ
ขุมทองแห่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงาม (Nutricosmetics): แนวคิด “ความงามจากภายใน” กำลังได้รับความนิยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 83,330 ล้านบาท และที่น่าสนใจคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อผิวพรรณและความงามโดยเฉพาะ (เช่น คอลลาเจน, กลูตาไธโอน) มีสัดส่วนสูงถึง 21% ของตลาดทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าราว 17,500 ล้านบาท นอกจากนี้ ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับดูแลผิวในไทยโดยเฉพาะ ยังคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 6.9% ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2586 สิ่งนี้บ่งชี้ถึงโอกาสมหาศาลสำหรับแบรนด์ที่สามารถนำเสนอโซลูชันความงามแบบองค์รวมที่ตอบโจทย์ทั้งการดูแลจากภายนอกและบำรุงจากภายใน
บริบทของเอเชีย บทเรียนจากมหาอำนาจ K-Beauty
ความสำเร็จระดับโลกของ K-Beauty ไม่ได้เกิดขึ้นจากบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยโมเดลธุรกิจที่ชาญฉลาดซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทย
ปรากฏการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย ODM ความสำเร็จของ K-Beauty ถูกเร่งปฏิกิริยาโดยบริษัทผู้ผลิตแบบ ODM ชั้นนำของโลกอย่าง Cosmax และ Kolmar Korea บริษัทเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่โรงงาน แต่เป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรม” (Innovation Hubs) พวกเขาทุ่มงบประมาณมหาศาลให้กับการวิจัยและพัฒนา (สูงถึง 7% ของยอดขาย) คาดการณ์เทรนด์ความงามทั่วโลก และพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยอยู่เสมอ
โมเดลธุรกิจที่เอื้อต่อการเติบโต นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ได้ถูกเก็บไว้ใช้เอง แต่ถูกส่งต่อไปยังแบรนด์ขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูง หรือที่เรียกว่า Indie Brands แบรนด์เหล่านี้จึงสามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปที่การสร้างแบรนด์, การตลาด และการสร้างชุมชนลูกค้า โดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เอง โมเดลนี้ได้สร้าง “ประชาธิปไตย” ในอุตสาหกรรมความงาม ทำให้แบรนด์เล็กๆ หลายร้อยแบรนด์สามารถเปิดตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้สำเร็จ
พิมพ์เขียวสำหรับประเทศไทย โมเดล ODM ของเกาหลีใต้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นพิมพ์เขียวสู่ความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้ ในขณะที่กระแสวัฒนธรรมไทย หรือ “T-Wave” กำลังได้รับความสนใจในระดับสากล การมีภาคการผลิตแบบ ODM ที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญจะสามารถปลดล็อกศักยภาพของผู้ประกอบการและแบรนด์ไทยรุ่นใหม่ให้สามารถพิชิตได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูจุดเด่นด้านส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไทย
การบรรจบกันของสามกระแสหลัก ได้แก่ ผู้บริโภคที่ฉลาดเลือก (Skintellectual) การเติบโตของเวชสำอาง และตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงามที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ได้สร้างความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ใหม่สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตของไทย ตลาดที่เติบโตสูงย่อมมาพร้อมกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น มีความเสี่ยงจากกระแส “Fast Beauty” และสงครามราคา ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีจุดเด่นชัดเจนจะอยู่รอดได้ยาก ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ (เวชสำอาง) และให้ประโยชน์แบบองค์รวม (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)
การผลิตสินค้าเหล่านี้มีความซับซ้อนสูง เวชสำอางอาจต้องการห้องปฏิบัติการ R&D และการทดสอบคุณภาพเทียบเท่ากับมาตรฐานยา ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้องผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานอาหาร (Food-Grade), อยู่ภายใต้กฎระเบียบของ อย. ในหมวดอาหาร และต้องการความเชี่ยวชาญด้านชีวประสิทธิผล (Bioavailability) และการพัฒนาสูตรสำหรับการบริโภค โรงงานผลิตเครื่องสำอางทั่วไปไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปผลิตเครื่องดื่มคอลลาเจนคุณภาพสูงได้โดยง่าย
ดังนั้น โอกาสมหาศาลจึงเปิดกว้างสำหรับผู้ผลิต OEM/ODM ของไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialization) ผู้ประกอบการที่ต้องการเปิดตัวเซรั่มชะลอวัยประสิทธิภาพสูงควรเสาะหาพันธมิตรที่มีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านเวชสำอางโดยเฉพาะ ในขณะที่ผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์อาหารเสริมเพื่อความงามต้องมองหาพันธมิตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP สำหรับการผลิตอาหารเสริม ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้คือหัวใจสำคัญในการปลดล็อกมูลค่าในกลุ่มตลาดที่เติบโตสูงเหล่านี้ และเป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการเลือกพันธมิตรทางธุรกิจ
ภาพรวมตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลของไทย (คาดการณ์ปี 2567-2568)
| กลุ่มตลาด | มูลค่าโดยประมาณ (ปี 2567) | การเติบโตที่คาดการณ์ (ปี 2568) | ปัจจัยขับเคลื่อนและข้อสังเกต |
| ตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลโดยรวม | ~340,000 ล้านบาท | ~11% | การฟื้นตัวหลังโควิด, กระแส Self-care, อิทธิพลของ T-Beauty |
| กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) | ~113,000 ล้านบาท | เติบโตแข็งแกร่ง | เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหัวใจของตลาด |
| กลุ่มเครื่องสำอาง (Makeup) | ~22,700 ล้านบาท | เติบโตสูง | ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาใช้ชีวิตปกติและการเปิดประเทศ |
| ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Nutricosmetics) | ~83,330 ล้านบาท | CAGR ~7-8% | กระแสความงามจากภายใน (Beauty from Within) กำลังมาแรง |
| – กลุ่มย่อย: อาหารเสริมเพื่อความงาม | ~17,500 ล้านบาท (21% ของทั้งหมด) | เติบโตสูง | ผู้บริโภคให้ความสนใจคอลลาเจน, กลูตาไธโอน และวิตามินผิว |
| ตลาดเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic Medicine) (เพื่ออ้างอิง) | ~59,000 ล้านบาท (USD 1.61B) | CAGR ~11.6% | สะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของผู้บริโภคที่จะจ่ายเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง |
———————————————————–
การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ โมเดลใดที่ใช่สำหรับธุรกิจของคุณ?
หลังจากทำความเข้าใจนิยามและภาพรวมตลาดแล้ว ส่วนนี้จะเปลี่ยนจากคำถาม “มันคืออะไร?” ไปสู่ “ฉันควรทำอะไร?” โดยนำเสนอแนวทางที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองได้
เมื่อไหร่ที่ควรเลือก OEM การสร้างมรดกที่เป็นเอกลักษณ์
ข้อเสนอหลักของโมเดล OEM คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและสามารถป้องกันการลอกเลียนแบบได้ในระยะยาว (Defensible Moat) มันคือการลงทุนเพื่อสร้างคุณค่าของแบรนด์ (Brand Equity) อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเข้าสู่ตลาดในระยะสั้น
ข้อดี
– การควบคุมทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว (IP Control & Exclusivity) สูตรของคุณคือความลับทางการค้าและเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด สิ่งนี้ช่วยป้องกันไม่ให้คู่แข่งลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคุณได้โดยตรง
– สร้างความแตกต่างสูงสุด (Maximum Differentiation) คุณสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างอย่างแท้จริงในทุกมิติ ตั้งแต่เนื้อสัมผัส, ส่วนผสมออกฤทธิ์, ไปจนถึงกลิ่น ซึ่งหาไม่ได้จากที่อื่นในตลาด
– ศักยภาพในการทำกำไรสูงกว่า (Higher Potential Profit Margins) การเป็นเจ้าของสูตรทำให้คุณสามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดีกว่า และไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการวิจัยและพัฒนาของโรงงาน
ข้อด้อย
– การลงทุนเริ่มต้นสูง (Significant Upfront Investment) คุณต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนา, การทดสอบความคงตัว (Stability Test) และการทดสอบทางคลินิก (Clinical Trial) ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงมาก
– ใช้เวลานานในการออกสู่ตลาด (Longer Time-to-Market) วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่แนวคิด การพัฒนาสูตร การทดสอบ ไปจนถึงการผลิตจริง อาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึงมากกว่าหนึ่งปี
– ความเสี่ยงสูง (Higher Risk) คุณกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับแนวคิดผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์จากตลาด หากผลิตภัณฑ์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดี ความสูญเสียทั้งหมดจะตกเป็นของคุณ
– ต้องการความเชี่ยวชาญเชิงลึก (Requires Deep Expertise) คุณหรือทีมงานของคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง การพัฒนาสูตร และข้อกำหนดทางกฎหมายต่างๆ
ธุรกิจที่เหมาะกับโมเดล OEM
– แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วและต้องการขยายสายผลิตภัณฑ์ใหม่
– บริษัทที่ก่อตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนัง หรือนักเคมีเครื่องสำอาง ที่มีสูตรเฉพาะของตนเอง
– สตาร์ทอัพที่มีเงินทุนสูงและตั้งเป้าที่จะสร้าง “Hero Product” ที่มีเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์
– ธุรกิจที่มุ่งเป้าไปที่ตลาดเวชสำอางระดับพรีเมียม ซึ่งต้องการส่วนผสมที่จดสิทธิบัตรและมีความพิเศษเฉพาะตัว
เมื่อไหร่ที่ควรเลือก ODM ความเร็ว ประสิทธิภาพ และการเจาะตลาด
ข้อเสนอหลักของโมเดล ODM คือการให้ความสำคัญกับความเร็ว ความคล่องตัวในการตอบสนองต่อตลาด และการมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การสร้างแบรนด์และการขาย มากกว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ข้อดี
– ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วกว่ามาก (Drastically Faster Time-to-Market) สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ในเวลาเพียง 1-4 สัปดาห์ ทำให้สามารถคว้าโอกาสจากเทรนด์ที่มาเร็วไปเร็วได้ทันท่วงที
– การลงทุนและความเสี่ยงเริ่มต้นต่ำ (Lower Initial Investment & Risk) ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสูตรสำเร็จที่ผ่านการพิสูจน์แล้วของโรงงาน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินได้อย่างมหาศาล
– จำนวนสั่งผลิตขั้นต่ำ (MOQ) ที่ต่ำกว่า โรงงานสามารถเสนอ MOQ ที่ต่ำได้ เนื่องจากพวกเขาผลิตสูตรพื้นฐานนั้นๆ ให้กับลูกค้าหลายราย ทำให้สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงได้ง่าย
– เข้าถึงความเชี่ยวชาญได้ทันที (Access to Expertise) คุณจะได้รับประโยชน์จากทีม R&D การคาดการณ์เทรนด์ และความรู้ด้านกฎระเบียบของโรงงาน โดยไม่ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญของตัวเอง
ข้อด้อย
– ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์มีจำกัด (Limited Differentiation) ผลิตภัณฑ์ของคุณอาจมีความคล้ายคลึงกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด ซึ่งอาจมาจากโรงงานเดียวกัน สิ่งนี้อาจนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
– ไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา (No IP Ownership) คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสูตร หากคุณต้องการเปลี่ยนโรงงานผลิต คุณจะไม่สามารถนำสูตรผลิตภัณฑ์นั้นไปด้วยได้
– การควบคุมที่น้อยกว่า (Less Control) คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับสูตรหลักของผลิตภัณฑ์อย่างจำกัด และอาจมีข้อจำกัดในการเลือกบรรจุภัณฑ์
ธุรกิจที่เหมาะกับโมเดล ODM
– สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีเงินทุนจำกัด
– ผู้มีอิทธิพล (Influencers) และคนดังที่ต้องการสร้างรายได้จากแบรนด์ส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
– แบรนด์ที่มีจุดแข็งด้านการตลาดและการสร้างชุมชน ซึ่งเรื่องราวของแบรนด์มีความสำคัญมากกว่าความเป็นเอกลักษณ์ของสูตร
– ธุรกิจที่ต้องการทดสอบตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนพัฒนาแบบ OEM เต็มรูปแบบ
แนวทางแบบผสมผสาน กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของทั้งสองโลก?
ผู้ประกอบการที่ชาญฉลาดจะไม่มองว่า OEM และ ODM เป็นทางเลือกที่ต้องตัดสินใจเพียงครั้งเดียวและแยกขาดจากกัน แต่จะมองเป็นกลยุทธ์แบบเป็นขั้นตอน (Phased Strategy) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ระยะที่ 1 เปิดตัวด้วย ODM ใช้ผลิตภัณฑ์แบบ White Label หรือ Private Label เพื่อเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วด้วยความเสี่ยงต่ำ ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับการสร้างแบรนด์ สร้างฐานลูกค้า และสร้างกระแสเงินสด ในระยะนี้ เป้าหมายสำคัญคือการเก็บรวบรวมข้อมูลตลาดที่แท้จริงว่าลูกค้าต้องการอะไรและตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างไร
ระยะที่ 2 ต่อยอดสู่ OEM เมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จักและมีผลกำไรที่มั่นคงแล้ว ให้นำผลกำไรนั้นกลับมาลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OEM ที่เป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์ “Hero Product” ที่เกิดขึ้นในระยะนี้จะกลายเป็นหัวใจหลักที่สร้างกำไรและสร้างความแตกต่างในระยะยาว ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ ODM เริ่มต้นยังสามารถคงไว้เพื่อเป็นสินค้าระดับเริ่มต้นหรือสินค้าเสริมในพอร์ตโฟลิโอได้ กลยุทธ์นี้ช่วยลดความเสี่ยงในช่วงเริ่มต้นได้อย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างเส้นทางไปสู่การมีสินทรัพย์ทางปัญญาที่มีค่าและยั่งยืนในอนาคต
ตารางเมทริกซ์การตัดสินใจ เลือกโมเดลการผลิตที่ใช่สำหรับคุณ
เพื่อช่วยให้การตัดสินใจเป็นรูปธรรมมากขึ้น ลองตอบคำถามทางธุรกิจต่อไปนี้ เพื่อดูว่าธุรกิจของคุณมีแนวโน้มไปในทิศทางใด
| คำถามทางธุรกิจ | ถ้า “ใช่” มีแนวโน้มไปทาง… | ถ้า “ไม่ใช่” มีแนวโน้มไปทาง… |
| คุณมีสูตรเฉพาะตัวที่พัฒนาและพร้อมใช้งานแล้วหรือไม่? | OEM | ODM |
| ความได้เปรียบในการแข่งขันหลักของคุณคือการตลาดและเรื่องราวของแบรนด์ใช่หรือไม่? | ODM | OEM |
| ความเร็วในการออกสู่ตลาดคือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคุณใช่หรือไม่? | ODM | OEM |
| คุณมีงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการทดสอบผลิตภัณฑ์ (เช่น >1-2 ล้านบาท) หรือไม่? | OEM | ODM |
| การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ที่ป้องกันการลอกเลียนแบบได้เป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจระยะยาวของคุณใช่หรือไม่? | OEM | ODM |
| คุณเป็นสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนเริ่มต้นจำกัดใช่หรือไม่? | ODM | OEM |
| เป้าหมายหลักของคุณคือการทดสอบความต้องการของตลาดสำหรับแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ก่อนใช่หรือไม่? | ODM | OEM |
—————————————–
การบริหารจัดการความร่วมมือ
ส่วนสุดท้ายนี้จะให้คำแนะนำและขั้นตอนที่นำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อเปลี่ยนแนวคิดของแบรนด์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายได้สำเร็จ
การค้นหาพันธมิตรผู้ผลิตที่ใช่ การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของคุณ
การเลือกโรงงานผู้ผลิตเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์ การเลือกที่ผิดพลาดอาจทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ได้ในพริบตา ดังนั้น การพิจารณาจึงต้องไปไกลกว่าเรื่องราคา
เช็กลิสต์ในการคัดเลือกพันธมิตร
– ใบรับรองมาตรฐานคือสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้ มองหามาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด นอกจากนี้ ใบรับรองอื่นๆ ที่มีคุณค่า ได้แก่ ISO และสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มอย่างตลาดมุสลิม ควรมีมาตรฐาน Halal ด้วย
– ประสบการณ์และผลงานที่พิสูจน์ได้ ขอให้โรงงานนำเสนอตัวอย่างแบรนด์ที่เคยร่วมงานด้วย หรือกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ตรวจสอบว่าพวกเขามีประสบการณ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คุณสนใจหรือไม่ (เช่น เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์กันแดด อาหารเสริม)
– ศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ภายในองค์กร แม้ว่าคุณจะเลือกโมเดล OEM แต่พันธมิตรที่มีทีม R&D ที่แข็งแกร่งสามารถให้คำแนะนำที่มีค่าได้ สำหรับโมเดล ODM นี่คือหัวใจหลักของคุณค่าที่พวกเขาจะมอบให้
– ความโปร่งใสและการสื่อสาร พันธมิตรที่ดีจะเปิดเผยเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน, แหล่งที่มาของวัตถุดิบ, และโครงสร้างต้นทุนอย่างตรงไปตรงมา
– การสนับสนุนด้านกฎระเบียบ: เลือกพันธมิตรที่มีทีมงานที่เข้าใจข้อบังคับของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยเป็นอย่างดี และสามารถจัดการกระบวนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์แทนคุณได้ บริการนี้ถือเป็นมูลค่าเพิ่มที่สำคัญอย่างยิ่ง
กระบวนการจากแนวคิดสู่ชั้นวาง แผนงานทีละขั้นตอน
การสร้างแบรนด์เครื่องสำอางมีขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งพันธมิตรผู้ผลิตที่ดีสามารถช่วยให้กระบวนการนี้ราบรื่นขึ้นได้
ขั้นตอนที่ 1 การวางแนวคิดและวิจัยตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมาย จุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Selling Proposition – USP) และแนวคิดของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน วิเคราะห์คู่แข่งและแนวโน้มตลาดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Trends
ขั้นตอนที่ 2 การเลือกพันธมิตรและนำเสนอข้อมูล (Briefing) ใช้เช็กลิสต์ข้างต้นเพื่อค้นหาพันธมิตรที่มีศักยภาพ จากนั้นจัดทำเอกสารสรุป (Brief) ที่อธิบายวิสัยทัศน์และข้อกำหนดของคุณอย่างละเอียด
ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาสูตรและตัวอย่าง (หัวใจแห่งการสร้างสรรค์)
– สำหรับ OEM คุณนำเสนอสูตรของคุณเพื่อให้โรงงานผลิตตัวอย่างตามนั้น
– สำหรับ ODM คุณเลือกสูตรพื้นฐานจากแคตตาล็อกของโรงงานและร้องขอการปรับเปลี่ยน (ถ้ามี) จากนั้นโรงงานจะผลิตตัวอย่างเพื่อให้คุณอนุมัติ
ขั้นตอนที่ 4 การทดสอบและรับฟังความคิดเห็น ทดสอบตัวอย่างผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดในด้านประสิทธิภาพ เนื้อสัมผัส ความคงตัว และกลิ่น ขั้นตอนนี้สำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตามมาตรฐานที่คุณต้องการ
ขั้นตอนที่ 5 การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อเลือกหรือออกแบบบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ สำหรับ OEM คุณอาจต้องจัดหาเอง แต่โรงงาน ODM หลายแห่งมีบริการแบบครบวงจร (Turnkey)
ขั้นตอนที่ 6 การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (ประตูสู่การจำหน่าย) โรงงานจะช่วยดำเนินการหรือจัดการกระบวนการทั้งหมดในการยื่นขอจดแจ้งผลิตภัณฑ์กับ อย. เพื่อให้ได้ เลขที่ใบรับจดแจ้ง ซึ่งเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับการจำหน่ายในประเทศไทย
ขั้นตอนที่ 7 การผลิตและการควบคุมคุณภาพ เมื่อทุกอย่างได้รับการอนุมัติ การผลิตล็อตแรกจะเริ่มต้นขึ้น คุณต้องมีกระบวนการควบคุมคุณภาพ (Quality Control – QC) ที่ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 8: การเปิดตัวและการตลาด เมื่อได้รับสินค้าสำเร็จรูป ก็ถึงเวลาดำเนินแผนการตลาดและการขายของคุณ
ข้อพิจารณาที่สำคัญ ทรัพย์สินทางปัญญา สัญญา และการควบคุมคุณภาพ
การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
– สำหรับ OEM สูตรของคุณคือ IP ที่มีค่าที่สุด ต้องปกป้องด้วย สัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-Disclosure Agreement – NDA) ก่อนที่จะแบ่งปันข้อมูลกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ
– สำหรับ ODM แม้คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของสูตร แต่คุณเป็นเจ้าของแบรนด์ ควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า (Trademark) สำหรับชื่อแบรนด์และโลโก้ของคุณตั้งแต่เนิ่นๆ ในสัญญาควรระบุให้ชัดเจนว่าโรงงานไม่สามารถขายผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่มีการปรับแต่งและบรรจุภัณฑ์แบบเดียวกับของคุณให้กับแบรนด์อื่นได้
ความสำคัญของสัญญาที่รัดกุม ข้อตกลงทางกฎหมายของคุณควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจนในทุกประเด็น ได้แก่ ขอบเขตของงาน ราคา, MOQ ระยะเวลาการผลิต เงื่อนไขการชำระเงิน กรรมสิทธิ์ใน IP, มาตรฐานคุณภาพ, และความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหา
การควบคุมคุณภาพเป็นความรับผิดชอบของคุณ อย่าคาดหวังว่าโรงงานจะผลิตสินค้าได้สมบูรณ์แบบทุกครั้ง คุณควรมีกระบวนการ QC ของตัวเอง ซึ่งรวมถึงการอนุมัติตัวอย่าง “มาสเตอร์” สุดท้าย การกำหนดมาตรฐานความสม่ำเสมอของแต่ละล็อตการผลิต, และอาจมีการสุ่มตรวจสอบสินค้าก่อนการจัดส่ง
————————————————
ตลาดความงามของไทยคืออุตสาหกรรมมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่เต็มไปด้วยโอกาสและมีพลวัตสูง การเกิดขึ้นของผู้บริโภคยุค “Skintellectual” และการเติบโตของกลุ่มตลาดเฉพาะทางที่มีมูลค่าสูงอย่างเวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงาม ได้เปิดพื้นที่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับแบรนด์ใหม่ที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
การเดินทางจากแนวคิดในใจไปสู่ผลิตภัณฑ์อันเป็นที่รักบนชั้นวางนั้นมีความซับซ้อน แต่ก็เป็นไปได้และเข้าถึงง่ายกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยความเข้าใจในภูมิทัศน์เชิงกลยุทธ์ของ OEM และ ODM, การเลือกโมเดลที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และการเลือกพันธมิตรผู้ผลิตที่แท้จริง ผู้ประกอบการไทยไม่เพียงแต่มีพลังในการพิชิตตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการสร้างคลื่นลูกใหม่ของ “T-Beauty” ให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก รายงานฉบับนี้คือพิมพ์เขียวและก้าวแรกของคุณบนเส้นทางนั้น

